เรียนรู้ข้อมูลสำคัญบนฉลากสินค้า ที่นักธุรกิจมือใหม่ควรรู้ก่อนผลิตแบรนด์ ฉลากสินค้าไม่เพียงแค่เป็นแค่การออกแบบที่สวยงาม แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า พร้อมกับไอเดียออกแบบฉลากสินค้าเองง่ายๆ ประหยัดต้นทุน
การเริ่มต้นธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า หรือการสร้างแบรนด์ใหม่ๆ สิ่งหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ “ฉลากสินค้า” เพราะเป็นส่วนสำคัญในการสื่อสารกับลูกค้า การที่ฉลากสินค้าของคุณมีข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้กับลูกค้า และยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจมากขึ้น
ในบทความนี้ เราจะพูดถึงข้อมูลฉลากสินค้าที่ถูกต้อง ที่นักธุรกิจมือใหม่ควรรู้ เพื่อให้การออกแบบฉลากสินค้าของคุณไม่เพียงแค่ดูดี แต่ยังช่วยให้สินค้าของคุณถูกต้องตามกฏหมาย และมีความน่าเชื่อถือในตลาดอีกด้วย

ฉลากสินค้า คือ อะไร
ฉลากสินค้า คือ สติ๊กเกอร์หรือป้ายที่ติดบนบรรจุภัณฑ์และสินค้า (ฉลากสินค้า ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Product Label) ฉลากสินค้าติดเพื่อแสดงข้อมูลสำคัญให้ผู้บริโภคทราบ เช่น ชื่อสินค้า วัตถุดิบ วันหมดอายุ และข้อควรระวัง มีหน้าที่สื่อสารคุณภาพ ความปลอดภัย และวิธีใช้งานสินค้านั้นๆ
ข้อมูลที่สำคัญบนฉลากสินค้า
ข้อมูลสำคัญบนฉลากสินค้าเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคควรตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และตรงกับความต้องการ โดยข้อมูลหลักที่มักปรากฏบนฉลากสินค้า มีดังนี้
1.ข้อมูลพื้นฐาน
- ตราสินค้า (Brand): ตราสินค้าคือสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่าย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและแสดงถึงคุณภาพของสินค้า ถ้าคุณเห็นตราสินค้าในที่ต่างๆ มักจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น และสามารถเชื่อถือสินค้าได้มากกว่า เช่น Coca-Cola หรือ Thai Airways เป็นต้น
- ชื่อผลิตภัณฑ์ (Product name): ชื่อผลิตภัณฑ์ต้องสื่อถึงสิ่งที่เป็นสินค้าอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น “แชมพูสำหรับผมมัน” หรือ “น้ำมันพืช” ชื่อเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้ได้ทันทีว่าสินค้าชนิดนี้คืออะไรและใช้ทำอะไร
- รายละเอียดสินค้า: บางครั้งบนฉลากสินค้าจะมีข้อมูลเพิ่มเติม เช่น สโลแกนของแบรนด์ หรือบรรยายถึงความพิเศษของสินค้า เช่น “สูตรปราศจากสารเคมี” หรือ “ผลิตจากธรรมชาติ 100%” ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้าดังกล่าวมากขึ้น
2.ข้อมูลทางเทคนิค
- ขนาดและการบรรจุ: ข้อมูลนี้สำคัญมาก เพราะมันช่วยให้ลูกค้ารู้ว่าเขาจะได้รับปริมาณเท่าไหร่ เช่น “น้ำหนัก 500 กรัม” หรือ “ปริมาตร 1 ลิตร” ข้อมูลนี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นว่าคุ้มค่าหรือไม่
- วันที่ผลิตและวันหมดอายุ: สำหรับสินค้าที่มีวันหมดอายุ เช่น อาหารหรือเครื่องสำอาง การระบุวันที่ผลิตและวันหมดอายุจะช่วยให้ลูกค้ารู้ว่าสินค้าดังกล่าวยังปลอดภัยและสามารถใช้ได้หรือไม่ การแสดงข้อมูลเหล่านี้ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้า
3.ข้อมูลทางกฎหมายและมาตรฐาน
- เครื่องหมาย อย. : เครื่องหมายนี้เป็นเครื่องหมายรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่าสินค้าผ่านการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยแล้ว สิ่งนี้สำคัญมากสำหรับอาหารและเครื่องสำอาง เพราะมันการันตีว่าคุณสามารถใช้งานหรือบริโภคสินค้าได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย
- บาร์โค้ด: บาร์โค้ดคือรหัสที่ช่วยให้ร้านค้าหรือร้านออนไลน์สามารถคิดราคาและจัดการสินค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การมีบาร์โค้ดช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
- ศูนย์ร้องเรียนผู้บริโภค: ในกรณีที่คุณพบปัญหาเกี่ยวกับสินค้า คุณสามารถติดต่อศูนย์ร้องเรียนผู้บริโภคเพื่อขอความช่วยเหลือหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ การให้ข้อมูลเหล่านี้บนฉลากสินค้าเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
4.ข้อมูลเฉพาะประเภทสินค้า
- ข้อมูลทางโภชนาการ: สำหรับสินค้าที่เป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม การระบุข้อมูลทางโภชนาการจะช่วยให้ลูกค้ารู้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีสารอาหารอะไรบ้าง เช่น แคลอรี่, โปรตีน, วิตามิน และเกลือแร่ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ตามความต้องการ เช่น คนที่ควบคุมน้ำหนักอาจจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่แคลอรี่น้อย
- คำเตือนหรือข้อควรระวัง: สินค้าที่มีสารเสี่ยง เช่น เครื่องดื่มชูกำลังที่มีคาเฟอีนหรือสารอื่นๆ ที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง ควรมีคำเตือนที่ชัดเจน เช่น “ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจ” หรือ “ห้ามบริโภคเกินปริมาณที่กำหนด” การให้ข้อมูลคำเตือนเหล่านี้ช่วยให้ผู้บริโภคใช้สินค้าอย่างระมัดระวัง
5.ข้อมูลผู้ผลิต
- ชื่อผู้ผลิตและจัดจำหน่าย: การระบุชื่อบริษัทที่ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าช่วยให้ลูกค้ารู้ว่าเขากำลังซื้อสินค้าจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือหรือไม่ การมีข้อมูลติดต่อ เช่น ที่ตั้งโรงงาน เบอร์โทร หรืออีเมล จะทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในสินค้าและพร้อมที่จะซื้อ
ตัวอย่างฉลากสินค้า:
1.ฉลากสินค้า บนอาหาร
- ข้อมูลสำคัญ: วันที่ผลิต, วันหมดอายุ, ขนาดบรรจุ, สารอาหารสำคัญ (แคลอรี่, น้ำตาล, โซเดียม), คำเตือนเกี่ยวกับสารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้
- ตัวอย่าง: ฉลากของ “นมสด” ที่ระบุว่าเป็น “นมสดชนิดเต็มมันเนย ขนาด 1 ลิตร ผลิตโดย… วันหมดอายุ…”
2.ฉลากสินค้า บนผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
- ข้อมูลสำคัญ: ส่วนผสมหลัก, ข้อบ่งใช้, คำเตือนเกี่ยวกับการแพ้, วิธีการใช้, สัญลักษณ์ของมาตรฐาน เช่น อย.
- ตัวอย่าง: ฉลากของ “ครีมบำรุงผิว” ที่ระบุส่วนผสมหลักอย่าง “วิตามินซี, ไฮยาลูโรนิค แอซิด” พร้อมคำแนะนำการใช้งานและระยะเวลาการใช้งานที่ปลอดภัย
3.ฉลากสินค้า บนอุปกรณ์ไฟฟ้า
- ข้อมูลสำคัญ: ข้อมูลทางเทคนิค เช่น แรงดันไฟฟ้า, กำลังไฟ, ข้อกำหนดการใช้งาน, ความปลอดภัย
- ตัวอย่าง: ฉลากของ “เตารีดไฟฟ้า” ที่ระบุว่าเป็น “แรงดันไฟฟ้า 220V” หรือ “กำลังไฟ 1000W”
ข้อควรรู้: วิธีการ ตรวจ สอบ บาร์โค้ดบน ฉลากสินค้า
วิธีการตรวจสอบบาร์โค้ดบน ฉลากสินค้า คือกระบวนการที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าสินค้าที่คุณซื้อเป็นของแท้และสามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างถูกต้อง ปัจจุบันบาร์โค้ดเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบความถูกต้องของสินค้าและการควบคุมสต็อกสินค้า สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการตรวจสอบบาร์โค้ด นี่คือวิธีการตรวจสอบบาร์โค้ดบนฉลากสินค้าควรรู้:
1.ตรวจสอบจากหมายเลขบาร์โค้ด
บาร์โค้ดที่พบบนฉลากสินค้าจะประกอบด้วยหมายเลขที่สื่อถึงข้อมูลสินค้าหลายๆ ประเภท เช่น หมายเลขผู้ผลิต หมายเลขสินค้าหรือประเภทของสินค้านั้นๆ นอกจากนี้ยังช่วยในการระบุที่มาของสินค้า เช่น ประเทศที่ผลิตหรือแหล่งที่มาของสินค้า
- หมายเลข 13 หลัก (EAN-13): ใช้ในสินค้าหลายประเภท เช่น อาหาร เครื่องสำอาง และสินค้าอุปโภค
- หมายเลข 8 หลัก (EAN-8): ใช้ในสินค้าขนาดเล็กที่มีพื้นที่จำกัดบนฉลาก
2.ใช้แอปพลิเคชันตรวจสอบบาร์โค้ด
ในยุคดิจิทัลที่เรามีสมาร์ทโฟน การใช้แอปพลิเคชันสำหรับการตรวจสอบบาร์โค้ดเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายดายมากขึ้น เพียงแค่สแกนบาร์โค้ดที่ปรากฏบนฉลากสินค้าด้วยแอปพลิเคชันที่มีฟังก์ชันนี้ เช่น “Barcode Scanner” หรือ “ShopSavvy” ซึ่งแอปเหล่านี้สามารถบอกข้อมูลของสินค้านั้นๆ รวมถึงแหล่งที่มาของสินค้าและราคาเปรียบเทียบในตลาด
3.ตรวจสอบจากเว็บไซต์ของผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย
หากคุณไม่มั่นใจเกี่ยวกับข้อมูลจากการสแกนบาร์โค้ด หรือแอปพลิเคชันตรวจสอบบาร์โค้ด เว็บไซต์ของผู้ผลิตสินค้าหรือผู้จัดจำหน่ายมักจะมีฟังก์ชันหรือระบบการตรวจสอบบาร์โค้ดที่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าชิ้นนั้น ๆ ได้ เช่น รายละเอียดของผลิตภัณฑ์ วันผลิต และวันหมดอายุ
4.ตรวจสอบกับมาตรฐานบาร์โค้ด
สำหรับสินค้าทั่วไปที่มีบาร์โค้ดที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐานสากล เช่น GS1 ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลการออกมาตรฐานของบาร์โค้ด หากคุณพบว่าบาร์โค้ดสินค้าของคุณไม่ตรงตามมาตรฐานหรือไม่สามารถสแกนได้ อาจเป็นสัญญาณว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรืออาจเป็นของปลอม
5.ตรวจสอบจากบาร์โค้ดในกล่องสินค้า
ในบางครั้งที่บาร์โค้ดบนฉลากสินค้าไม่สามารถตรวจสอบได้จากการสแกน หรือไม่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลได้จากแอปพลิเคชัน คุณสามารถตรวจสอบได้โดยการดูบาร์โค้ดที่กล่องสินค้า ซึ่งจะมีข้อมูลที่ชัดเจนและสามารถเปรียบเทียบกับบาร์โค้ดในฐานข้อมูลของผู้จำหน่ายหรือผู้ผลิตได้
ประเภทของ ฉลากสินค้ามีอะไรบ้าง
ฉลากสินค้าไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือสำหรับการสื่อสารข้อมูลกับผู้บริโภค แต่ยังมีหลายประเภทที่เหมาะสมกับลักษณะและวัตถุประสงค์การใช้งานต่าง ๆ ตามสินค้าที่กำหนด โดยสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทดังนี้
1.ฉลากหลัก (Primary Label)
ฉลากที่ติดอยู่ด้านหน้าของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคจะเห็นได้ชัดเจนที่สุด มักจะมีชื่อแบรนด์และรายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับสินค้า เช่น ชื่อสินค้า ขนาด หรือรสชาติ
- ตัวอย่าง: ฉลากที่ติดบนขวด หรือบรรจุภัณฑ์ที่มีชื่อแบรนด์และชื่อสินค้า ข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ เช่น โลโก้ หรือชื่อแบรนด์
- ลักษณะ: ติดในพื้นที่ที่มองเห็นได้ชัด เช่น ด้านหน้า หรือด้านบนของผลิตภัณฑ์ รวมถึงชื่อแบรนด์ โลโก้ และรายละเอียดของสินค้า เช่น ขนาดหรือรสชาติ
2.ฉลากรอง (Secondary Label)
ฉลากนี้มักจะอยู่ด้านหลังหรือข้างของบรรจุภัณฑ์ ซึ่งให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้า เช่น วิธีการใช้งาน คำเตือน หรือข้อมูลโภชนาการ
- ตัวอย่าง: ฉลากที่ติดอยู่ที่ด้านหลังของขวด ซึ่งอาจมีส่วนประกอบ วิธีการใช้ หรือคำเตือน
- ลักษณะ: ให้ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น วิธีการใช้งานหรือคำเตือนเกี่ยวกับสินค้า มักจะมีข้อมูลทางเทคนิค หรือข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้งานสินค้า
3.ฉลากโปรโมชั่น (Promotional Label)
ฉลากโปรโมชั่นใช้เพื่อดึงดูดความสนใจและกระตุ้นการขาย มักจะรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับส่วนลด โปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ
- ตัวอย่าง: ฉลากสินค้าที่มีข้อเสนอพิเศษ เช่น “ลด 50%” หรือ “ซื้อ 1 แถม 1”
- ลักษณะ: รวมข้อเสนอพิเศษ เช่น ส่วนลด หรือข้อเสนอที่จำกัดเวลา มักจะติดอยู่ในตำแหน่งที่เด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า
4.ฉลากอาหาร (Food Label)
- ลักษณะการใช้งาน: ใช้สำหรับสินค้าอาหารที่แปรรูป เช่น ผลไม้ ผัก หรือขนมไทยที่มีการบรรจุหีบห่อ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสม, วันหมดอายุ, ข้อมูลโภชนาการ และข้อควรระวังที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค
- ตัวอย่าง: ฉลากสินค้า บนขนมขบเคี้ยว, นมกล่อง, หรืออาหารสำเร็จรูปที่ขายในซุปเปอร์มาร์เก็ต
5.ฉลากยา (Medicine Label)
ฉลากยา (Medicine Label) /ฉลากอาหารเสริม (Supplement Label) / ฉลากเครื่องสำอาง (Cosmetic Label)
- ลักษณะการใช้งาน: ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ยา, อาหารเสริม, หรือเครื่องสำอาง เช่น ซองยา, หลอดทดสอบในห้องแล็บ, หรือกระปุกครีม เพื่อให้ข้อมูลทางโภชนาการ, วิธีการใช้งาน, และคำเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัย
- ตัวอย่าง: ฉลากบนกระปุกครีมบำรุงผิว, หรือฉลากบนผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ข้อมูลฉลากสินค้า มีความสำคัญอย่างไร?
ฉลากสินค้า เป็นหน้าตาของผลิตภัณฑ์ที่คุณเห็นบนชั้นวางในร้าน หรือที่คุณได้รับจากการสั่งซื้อออนไลน์ แต่คุณรู้ไหมว่า ฉลากสินค้าไม่ได้มีแค่ความสวยงามเท่านั้นนะ! มันมีบทบาทสำคัญมากในการช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและยังช่วยให้ธุรกิจของคุณดูมีความน่าเชื่อถืออีกด้วย
1.ช่วยให้ลูกค้ารู้จักสินค้า
ข้อมูลบนฉลากสินค้าทำให้ลูกค้ารู้ว่า “สินค้านี้คืออะไร” มีคุณสมบัติอะไรบ้าง และเหมาะกับใคร เช่น ถ้าเป็นสินค้าสำหรับเด็ก ฉลากอาจระบุว่า “ปลอดภัยสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป” หรือ “เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก” ฉลากทำให้ลูกค้าทราบได้ทันทีว่าสินค้าตัวนี้เหมาะสมกับความต้องการของเขาหรือไม่
2.ข้อมูลทางกฎหมาย
ฉลากสินค้าคือการการันตีว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารและยา หรือกรมการค้าภายในสำหรับสินค้าอื่นๆ ฉลากช่วยให้ลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่า สินค้าได้รับมาตรฐานความปลอดภัยและไม่เป็นอันตราย
3.สะดวกในการตรวจสอบข้อมูล
บางครั้งเมื่อเราซื้อสินค้ามาแล้ว เราอาจต้องการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม เช่น วันหมดอายุ หรือวิธีการใช้ ฉลากสินค้าจะช่วยให้คุณสามารถค้นหาข้อมูลเหล่านี้ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งคำแนะนำจากพนักงานขายหรือการค้นหาข้อมูลจากที่อื่น
4.เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แบรนด์
แบรนด์ที่มีการระบุข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วนบนฉลากสินค้า จะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์มากขึ้น บางครั้งการมีสัญลักษณ์รับรองจากองค์กรที่เชื่อถือได้ เช่น “อย.” หรือ “HACCP” จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า
5.เป็นเครื่องมือในการสร้างแบรนด์
ข้อมูลบนฉลากไม่ได้มีแค่คำเตือนหรือรายละเอียดทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น ฉลากที่ออกแบบอย่างดีและมีข้อความที่ดึงดูดใจจะช่วยให้สินค้าโดดเด่นจากสินค้าอื่น ๆ ในตลาด นอกจากนี้ยังสามารถใช้ฉลากเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ หรือโปรโมชั่นพิเศษที่กำลังจัดอยู่
สาระน่ารู้ สติกเกอร์ฉลากสินค้า สำคัญอย่างไรกับธุรกิจเดลิเวอรี่
แนะนำไอเดียออกแบบ ฉลากสินค้า ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ และประหยัดต้นทุน
การออกแบบ ฉลากสินค้า ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากหรือใช้งบเยอะ! ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กหรือเพิ่งเริ่มต้น และอยากได้ฉลากสินค้าที่ดูดี โดยไม่ต้องจ่ายแพง นี่คือไอเดียที่จะช่วยให้คุณออกแบบฉลากสินค้าได้ง่ายๆ และประหยัดต้นทุน
1.ใช้เครื่องมือออกแบบฟรี
ตอนนี้มีเครื่องมือออนไลน์มากมายที่ช่วยให้การออกแบบฉลากสินค้าง่ายและฟรี ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้งานง่ายได้แก่
- Canva: มีเทมเพลตฉลากสำเร็จรูปที่สามารถปรับแต่งได้ง่ายมากๆ โดยไม่ต้องมีทักษะการออกแบบเลย แค่เลือกเทมเพลตแล้วใส่ข้อมูลของตัวเอง
- Venngage: เครื่องมือนี้เหมาะมากสำหรับคนที่อยากใช้ฟีเจอร์ลากและวาง พร้อมไอคอนและฟอนต์มากมายให้เลือก แค่เลือกดีไซน์ที่ชอบและปรับตามต้องการ
2.เน้นความเรียบง่าย (Minimalist Design)
- การออกแบบแบบเรียบง่ายไม่ได้แปลว่าไม่น่าสนใจนะ ใช้สีไม่เกิน 2-3 สี จะทำให้ฉลากดูสะอาดตาและไม่ยุ่งเหยิง พร้อมทั้งช่วยประหยัดต้นทุนด้วย
- เลือกฟอนต์ที่อ่านง่าย เช่น Arial หรือ Helvetica ฟอนต์เหล่านี้จะช่วยให้ข้อมูลบนฉลากดูชัดเจน
- ใช้พื้นที่ว่าง หรือที่เรียกว่า “White Space” เพื่อให้ข้อมูลสำคัญโดดเด่นและดูไม่แออัดเกินไป
3.เลือกใช้วัสดุราคาประหยัด
ไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุแพง เพื่อให้ฉลากสินค้าดูดี ลองเลือกวัสดุที่มีคุณภาพดีและราคาย่อมเยาดังนี้
- สติ๊กเกอร์กระดาษ: เหมาะสำหรับสินค้าที่ไม่ต้องสัมผัสน้ำ เช่น ขนม หรือของแห้ง
- สติ๊กเกอร์ PP ใส: ถ้าคุณอยากให้สินค้าดูพรีเมียม แต่ไม่อยากจ่ายแพง สติ๊กเกอร์แบบใสเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับขวดน้ำหรือสินค้าที่ยังมองเห็นภายใน
4.เพิ่มลูกเล่นให้โดดเด่น
การเพิ่มลูกเล่นในการออกแบบจะทำให้ฉลากสินค้าของคุณดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
- ดีไซน์โปร่งใส (Transparent Label): หากสินค้าของคุณมีสีสันสวยงามหรือบรรจุภัณฑ์ที่น่าสนใจ การใช้ฉลากโปร่งใสจะทำให้ลูกค้าสามารถเห็นสินค้าภายในได้
- เลือกขนาดหรือรูปทรงที่แตกต่าง: ลองใช้ขนาด หรือรูปทรงฉลากที่ไม่ธรรมดา เช่น วงกลม หรือทรงรี เพื่อดึงดูดความสนใจและทำให้สินค้าของคุณสะดุดตา
5.ซื้อเครื่องพิมพ์เอง หรือติดต่อร้านพิมพ์ฉลากสินค้า
หากต้องการลดต้นทุน คุณสามารถพิมพ์ฉลากเองที่บ้านได้ด้วยเครื่องพิมพ์ Inkjet หรือ Laser Printer โดยใช้กระดาษสติ๊กเกอร์ที่ราคาไม่แพง
- เครื่องพิมพ์ที่บ้าน: แค่ใช้กระดาษสติ๊กเกอร์แบบที่พิมพ์ได้เองง่ายๆ และเลือกการออกแบบที่เหมาะสมกับสินค้าของคุณ
- ติดต่อสั่งพิมพ์ กับโรงพิมพ์ฉลากสินค้า: หากต้องการพิมพ์จำนวนมาก และยังคงประหยัดต้นทุน เราขอแนะนำ โรงพิมพ์ฉลากสินค้า คุณภาพดีในไทย ที่ โรงพิมพ์ฉลากสินค้า proprintshops ที่รับออกแบบ และผลิตฉลากสินค้า รวมทั้งกล่องบรรจุภัณฑ์อีกมากมาย ในราคาย่อมเยา คุณภาพดี
สรุป
การใส่ข้อมูลที่สำคัญบนฉลากสินค้า ไม่ได้แค่ช่วยให้ลูกค้ารู้จักสินค้าของคุณ แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในการเลือกซื้อสินค้า ฉลากสินค้าควรมีข้อมูลที่ครบถ้วนและชัดเจน เช่น ชื่อสินค้า ขนาด วันที่ผลิต วันหมดอายุ ข้อมูลทางโภชนาการ คำเตือน และข้อมูลการติดต่อ เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าได้อย่างมั่นใจ
ดังนั้น หากคุณเป็นนักธุรกิจหรือเจ้าของแบรนด์ อย่าลืมใส่ใจและทำฉลากสินค้าให้ครบถ้วน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าของคุณ
คำถามที่พบบ่อย
ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลบนฉลากสินค้า ที่ควรรู้ ก่อนสั่งผลิตแบรนด์
คำตอบ: ฉลากสินค้าเป็นข้อมูลที่ติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า เช่น ชื่อสินค้า, วันที่ผลิต, วันหมดอายุ, ส่วนประกอบ หรือข้อแนะนำในการใช้ เป็นข้อมูลที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นและมั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า
คำตอบ:
1.ข้อมูลที่สำคัญบนฉลากสินค้าควรประกอบด้วย:
2.ชื่อสินค้าและตราสินค้า
3.ขนาดและการบรรจุ
4.วันที่ผลิตและวันหมดอายุ
5.ข้อมูลทางโภชนาการ (สำหรับสินค้าอาหาร)
6.คำเตือนหรือข้อควรระวัง (สำหรับสินค้าที่มีสารเสี่ยง)
7.ข้อมูลเกี่ยวกับการรับรองมาตรฐาน เช่น อย. หรือ HACCP
8.ข้อมูลติดต่อและศูนย์ร้องเรียนผู้บริโภค
คำตอบ: บาร์โค้ดช่วยให้ร้านค้าหรือธุรกิจสามารถจัดการและตรวจสอบสินค้าทั้งในเรื่องการคิดราคาและการติดตามสินค้าได้ง่ายขึ้น แม้ว่าบาร์โค้ดไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกประเภทสินค้า แต่การมีบาร์โค้ดจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการจำหน่ายและการจัดการสินค้าของคุณ
อ่านบทความเพิ่มเติม: 5 เคล็ดลับออกแบบฉลากสินค้า ให้น่าจดจำ และมีประสิทธิภาพ